Thursday, October 25, 2007

หัวอกคน refer

" น่าน" ดินแดนอันสวยงาม & ไกลโพ้น ( อิๆ ไปนั่น) จะว่าไกลก็ไกลนะ แต่ไม่ค่อยเจริญเท่าไหร่ เมื่อก่อนน่านเคยเป็นเมืองปิด อารยธรรมตะวันตกยังเข้าไม่ถึง แต่ทุกวันนี้ มี seven 4 แห่งแล้วนะ มิหนำซ้ำยังมี Lotus น้อยๆ ไว้ให้เที่ยวเล่นจับจ่ายใช้สอย

รพ.น่าน ก็เช่นเดียวกัน ยังคงมีวัฒนธรรมองค์กรแพทย์อันแข็งแกร่ง แต่ทุกวันนี้น่านเจอวิกฤตขาดแคลนศัลยแพทย์อย่างหนัก จากที่เคยมีหมอศัลย์ 5 คน ก็เหลือแค่ 2 คน แถมอีกคน function ถึงเที่ยงคืนอีกต่างหาก ( Stroke กินน่ะ) เพราะฉะนั้นหากมี case หนักๆ (ซึ่งปกติต้อง refer อยู่แล้ว ด้วยศักยภาพของรพ.ที่มีขีดจำกัด ) หรือ มี case มากจนศัลยแพทย์ไม่สามารถจะผ่าได้แล้ว ก็จำเป็นต้อง refer

หัวอกคน refer อย่างเราก็ต้อง agitate อย่างแรง ด้วยต้องคิดว่า จะ refer ที่ไหนดี แล้วก็ลุ้นมากๆ ว่าเค้าจะรับมั้ย จะพูดยังไงดีว๊าาาา เค้าถึงจะรับ

อันดับแรกต้องใช้ประสบการณ์(อันน้อยนิด) ประมวลว่า ความน่าจะเป็นที่ที่ไหนจะรับ case มากที่สุด ก็เสี่ยงดวงโทรติดต่อไป ซึ่งการจะติดต่อ refer แต่ละครั้งก็ต้องผ่านขั้นตอนมากมาย เริ่มต้นด้วยการหาเบอร์โทรศัพท์รพ.นั้นๆ แล้วโทรติดต่อไปหา operator จากประสบการณ์(อันน้อยนิดเช่นกัน) คิดว่าของ มหาราช work สุด เพราะสามารถให้คำตอบได้ทันทีเลยว่าเราจะติดต่อใครได้ จะต้องทำยังไงบ้าง

แต่บางโรงพยาบาลทำให้เราเสียเวลามากด้วยว่าเค้าต่อสายไปให้เราผิดที่ ทำให้ต้องเสียเวลาโทรไปใหม่ ซ้ำ ๆ

ต่อไป พอเราติดต่อ operator เสร็จ ส่วนมากก็จะต้องคุยกับพยาบาล ER เพื่อส่ง case แล้วถามว่าแพทย์อะไรอยู่เวร แล้วก็ต้องโทรติดต่อแพทย์เวรเองอีกทีว่าเค้าจะรับหรือไม่รับ case ทีนี้ก็ลุ้นสิครับท่านว่าเค้าจะรับหรือไม่รับ แต่มันก็แล้วแต่ดวงคนไข้นะ ถ้าเตียงว่างก็โชคดีไป บางคนใส่ tube ก็ได้ไป บางที่ไม่อยากได้ tube บางที่ไม่รับ case trauma แบบว่าเดายากอ่ะ ก็ต้องแล้วแต่ดวงละกันว่ะ

ถ้า staff วันนั้นรับ case ก็จะ เย้ !!!!! สำเร็จภารกิจซะที

แต่ถ้า เตียงเต็มครับน้อง นี่ ก็ เฮ้อ !!!!! โทรไปที่ไหนต่อดีหว่าาาาา

หัวอกคน refer ก็ได้แต่คิดว่า เอาน่า มันต้องมีสักที่ที่รับหน่ะ ไม่เป็นไรโทรต่อไป ... เพื่อคนไข้ว่ะ

แต่วันนี้ก็ดีใจที่ case เรามีคนดูแลต่อแล้ววววว เย้ๆ

Friday, October 19, 2007

โกรธอ่ะ

ผิดมั้ย??? ที่หมอจะโกรธคนไข้อ่ะ
แต่วันนี้โกรธจริงๆ นะ
เรื่องมันก็มีอยู่ว่า
วันนี้เราอยู่เวร ER อีกไม่กี่นาทีก็จะเที่ยงคืนละ จะได้ลงเวรแล้ววว
็ก็มีคนไข้คนนึงเดินเข้ามา บอกว่าอยู่ดีดีก็ปวดข้อมือขึ้นมาทันทีทันใด
เราก็ลองให้คนไข้กำมือ คนไข้บอกว่ากำไม่ได้ เราก็เลยให้ลองงอนิ้วทีละนิ้ว
นิ้วก้อย.. งอได้
นิ้วหัวแม่มือ... งอได้
นิ้วชี้... โอ๊ยยย เจ็บอ่ะ จะให้ทำยังไง(น้ำเสียงโกรธและไม่พอใจมาก)
... ถ้าหมอไม่ตรวจแล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะคะ......
" ก็มันปวดอ่ะ จะให้ทำยังไง " ....
อึ้งสิคะ แล้วก็พูดกับคนไข้ว่า "งั้นก็รอไปก่อน" (เพราะหมอขอไปสงบสติอารมณ์ก่อน )
โกรธมากอ่ะ พูดด้วยดีดี ทำไมต้องตะคอกทำเสียงไม่พอใจอย่างงั้นด้วยอ่ะ ทั้งๆ ที่เราก็พูดดีด้วย
หมอนะ ... ไม่ใชขี้ข้า ที่จะคอยมารองรับอารมณ์บ้าๆ บอๆ อ่ะ ไม่ให้ตรวจแล้วจะมารพ.ทำ.. อะไร
ก็เข้าใจนะ ถ้ามันปวดก็ปวดอ่ะ ทำไมคนไข้หลายคนที่เค้าปวดมากกว่านี้เค้ายังอดทนให้หมอตรวจอ่ะ
หมอมีสิทธิ์เลือกรักษาคนไข้มั้ยอ่ะ (ไม่มีหรอก) แต่อย่างน้อยก็อยากได้คำว่า "สิทธิของหมอ" บ้าง ไม่ใข่มีแต่สิทธิ์ของคนไข้
คนไข้มีสิทธิ์ที่จะรู้ ที่จะเลือกรับหรือไม่รับการรักษาได้ แล้วทำไมหมอ ไม่มีสิทธิ์ที่จะไม่บอก ไม่รักษาบ้าง ก็เข้าใจนะว่าคงเป็นไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็อยากให้เกียรติกันบ้าง ยิ่งให้สิทธิ์เค้ามาก เค้าก็ใช้ิิสิทธิ์ของเค้ามาก(เกินไป) เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัว ไม่เห็นอกเห็นใจคนอื่นบ้าง จ้องแต่จะจับผิด ทำไมไม่คิดบ้างว่าหมอก็ตั้งใจจะรักษานะ ไม่ได้หวังจะมาจับผิดหรือแกล้งคนไข้สักหน่อย ...... ไม่เข้าใจอ่ะ .... โกรธ

Tuesday, September 18, 2007

สับสน

ทำงานมาได้ครึ่งทางของปีแรก ก็เกิดเรื่องซะแล้วววว มีเหตุการณ์มากมายที่ทำให้เราต้องกลับมานั่งทบทวนตัวเองซะใหม่ว่า "เหมาะกับอาชีพนี้แล้วหรือ"? ส่วนตัวแล้ว ก็รักในอาชีพแพทย์นะ แต่เมื่อได้ทำงานมาสักระยะ(สั้นๆ)นี้แล้ว ก็รู้ว่า ตัวเองไม่ได้มีความรู้ความสามารถพอเลย และที่สำคัญ ไม่มีความสุขเลย ทุกวันนี้ไปทำงานด้วยความหวาดระแวง กลัวจะโดนตำหนิ กลัวจะโดนว่ากล่าว กลัวว่าจะรักษาคนไข้ได้รึเปล่า มันเป็นความไม่มั่นใจเอาซะเลย ยอมรับว่าเครียดมาก หาทางออกไม่ได้ พยายามคิดหาทางออกมาหลายวันแล้ว คิดถึงอนาคตว่าจะเอายังไงต่อไป จะใช้ทุนให้ครบ 3 ปี แล้วก็ไปเรียนด้านบริหารต่อ ตามความคิดเดิมที่อยากจะเป็นผอ. ทำงานด้านบริหารไป หรือว่าจะลาออกแล้วไปทำเอกชน ยังเคยคิดว่าจะลาออกแล้วไม่ทำอาชีพนี้แล้ว แต่คิดไปคิดมาก็เสียเวลาที่อุตส่าห์เรียนมาจนจบ(กว่าจะจบ) ก็เสียดายความรู้ที่เรียนมาเหมือนกัน ตอนนี้ก็มีความคิดที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่ติดปัญหาอยู่ตรงที่ไม่มีเงินทุนนะสิ เรื่องใหญ่เชียว เรื่องเงินๆ ทองๆ เนี่ย แต่ยังไงก็ต้องอดทนให้จบ intern1 นี้ก่อน เพราะว่าจะได้เอาไปยื่นเรียนต่อได้ เพราะถ้าไม่ผ่าน intern1 ก็จะไปเรียนต่อไม่ได้ ยังไงก็ต้องอดทนไปอีก ครึ่งปี
ทุกวันนี้ร้องไห้ทุกคืนเลยอ่ะ เครียดมาก ไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ เบื่อตัวเอง เบื่อทุกอย่าง เบื่อการทำงาน ไม่มีความสุขเลย แม้แต่กลับบ้านมาก็ไม่มีความสุข อารมณ์เสียใส่ทุกคนในบ้านเลยอ่ะ แย่มากๆ สุขภาพจิตแย่มาก ....
เหนื่อยจัง....

Monday, September 03, 2007

น้อยใจ

ทำงานมาได้สักพักก็เริ่มรู้แล้วว่าตัวเองไม่เหมาะกะอาชีพนี้เลยจริงๆ ถึงแม้จะ้อยากให้การรักษา แต่ว่าไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถพอ ก็ไม่สามารถที่จะเป็นหมอที่ดีได้หรอก ..... เศร้าใจจริงๆ
ไม่รู้ว่าจะมีใครเข้าใจความรู้สึกของเราตอนนี้บ้าง อยากร้องไห้ แต่ก็ร้องไม่ออก อยากจะลาออกก็ทำไม่ได้
ทุกวันนี้ก็อยู่อย่างลำบากใจมากๆ ไม่มีความสุขเลย
ถ้าเราทำให้คนไข้หายได้เราก็มีความสุขนะ แต่ถ้าคนไข้แย่ลงล่ะ เศร้าสุดๆ
เศร้าอ่ะ
เศร้า

Thursday, August 23, 2007

ยิ้มไว้

เชื่อมั้ยว่ารอยยิ้ม ทำให้คนเรามีความสุข ...... แหมมมม ไม่มีใครเถียงอยู่แล้วล่ะ
แล้วเชื่อหรือไม่ว่าการฝืนยิ้ม ก็ทำให้เรามีความสุข เหมือนกัน .... งง ล่ะสิ
ทุกวันนี้เราต้องเจอกับภาวะการตึงเครียด อยู่ตลอดเวลา บ่อยครั้งที่อารมณ์เสียกับคนไข้ หรือแม้แต่กับคนใกล้ชิดเราเอง พอเครียด อารมณ์เสีย หน้าตาก็จะบึ้งตึง ก็จะรู้สึกว่ายิ่งเครียดไปกันใหญ่
แต่พอลองฝึกยิ้มทั้งๆ ที่ อารมณ์ไม่ดี กลับรู้สึกว่าไม่เครียดมากนัก และสักพักก็จะยิ้มได้จริงๆ แบบว่าไม่ต้องฝืนยิ้ม และก็จะยิ้มให้กับคนไข้ได้ทุกคน ถึงแม้ว่าจะแอบหลุดกับคนไข้บางคนที่.....เหลือทน จริงๆ แต่บอกได้เลยว่ายิ้มแล้ว มีความสุขจริงๆ

Monday, August 06, 2007

เปลี่ยนสี

ในชีวิตของคนเราทุกคน ต้องเผชิญกับการ "ปรับตัว" อยู่ตลอดเวลา เพราะชีวิตคือการเปลี่ยนแปลง แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถปรับตัวเข้ากับได้ทุกสถานะการ ทุกสถานที่ ได้ มีไม่น้อยคนนักที่ปรับตัวไม่ได้ และมีปัญหากับชีวิตตามมา ถ้าปัญหาไม่มากก็อาจจะแค่เศร้า ซึม ไม่อยากคุยกับใคร หนักๆ เข้า อาจรู้สึกตัวเองไร้ค่า ไม่รู้จะพึ่งใคร และอาจจะคิดฆ่าตัวตายได้ในที่สุด
แต่ในทางกลับกัน คนที่พยายามปรับตัวตลอดเวลา โดย " ไม่มีจุดยืน " ในชีวิต ก็ไม่ได้เป็นคนที่น่านับถือหรือน่ายกย่องแต่อย่างใด กลับดูไร้ค่าซะยิ่งกว่าเสียอีก เพราะการที่เราพยายามปรับตัวเข้าหาคนอื่นโดยที่ไม่ได้เป็นตัวของตัวเองก็จะมีแต่ความเสแสร้งแกล้งทำ ไม่มีความจริงใจเลยแม้แต่น้อย คนพวกนี้ซะอีกที่น่าสงสารยิ่งนัก เพราะเค้าไม่เหลือแม้แต่....ศักดิ์ศรีของตัวเอง.....
ว่าไปแล้ว คำว่า "พอเพียง" ตามพระราชดำรัสของในหลวงเนี่ย ใช้ได้กับทุกสิ่งทุกเรื่องจริงๆ แม้แต่คนที่จะต้องเปลี่ยนสี ก็ควรเปลี่ยนสีแต่พอเพียง ไม่งั้นมันจะ...เปลือง.... นะจ๊ะ

4 เดือนกว่า

เนี่ย ก็เริ่มทำงานมาได้ 4 เดือนกว่าๆ แล้ว รู้สึกเหมือนทำงานมานานมากแล้ว ไม่ใช่เพราะว่ามีความสามารถมากจนชำนาญอะไรหรอกนะ แต่เป็นเพราะว่าเกิดความเบื่อหน่ายมากกว่า เชื่อมั้ยว่าแรกๆ นะ จะพูดกับคนไข้ดีมาก ค่อยๆ พูด ค่อยๆ อธิบาย แต่พอเราทำงานไปสักพัก พูดเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ ทุกๆวัน ก็รู้สึกเหนื่อย และเบื่อ ความจริงก็ไม่ดีเลยนะ เพราะว่าคนไข้ที่มาหาเราคนหลังๆ ก็จะซวยไป เพราะว่าเค้ายังไม่รู้เลย เพราะยังไม่ได้ฟังคำอธิบายเลย แต่หมอเบื่อที่จะอธิบายแล้ว ทั้งๆ ที่เพิ่งเป็นครั้งแรกของเค้าที่สมควรจะได้รับคำอธิบายที่ถูกต้อง แต่กลับถูกหมอที่พูดเรื่องนี้มาหลายครั้ง ซ้ำๆ ซาก ๆ เบื่อที่จะพูดมันอีกสักครั้ง ต้องโทษระบบ ที่ไม่สามารถทำให้คนเรามีความรู้ว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นกับตัวเองแล้วจะจัดการกับมันอย่างไร เพราะถ้าหากทุกคนรู้เรื่องกันหมด ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดซ้ำ ๆ อธิบายกันยืดยาว เพราะทุกคนมีความรู้เท่ากัน แต่เมื่อไหร่มันจะเป็นอย่างนั้นล่ะ

Sunday, July 15, 2007

เพิ่งเริ่มทำงาน

ช่วงที่ผ่านมาเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของชีวิตเลยทีเดียว ก็คือการได้เริ่มการทำงานหาเงินด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง
นี่ก็ทำงานมาได้ 2 เดือนกว่าๆ แล้ว (เริ่มเบื่อแล้วสิ แฮะๆ )
2 เดือนกว่าที่ผ่านก็ได้เจอเรื่องราวมากมายทีเดียว เริ่มจากเดือนแรกก็ได้อยู่ ward surgery ได้สัมผัสการดูคนไข้ที่เราเป็นเจ้าของไข้จริงๆ คือรับผิดชอบชีวิตคนๆ นั้นจริงๆ แรกๆ ก็มี staff มา round ด้วย หลังๆ ก็เริ่มต้อง round คนเดียว ตัดสินใจเอง
ช่วงที่อยู่ ศัลยกรรม ได้ round ward ศัลย์หญิง มี case หนึ่ง ที่ประทับใจมาก ก็คือเป็นเด็กผู้หญิงเพิ่งจะจบม. 6 ประสบอุบัติเหตุรถชนแล้วตกน้ำจมน้ำไป รับย้ายมาจาก ortho รู้สึกว่ามีกระดูกหักหลายที่เหมือนกัน แล้วเราก็ได้รับ consult เรื่องที่ว่าน้องเค้ามีเอะอะโวยวายไม่ค่อยรู้ตัว เ้ค้าให้มาช่วยประเมินดูว่าน้องเค้ามีปัญหาอะไรในหัวรึเปล่า คือปกติแล้วคนไข้ที่มีอุบัติเหตุแล้วจำเหตุการณ์ไม่ได้ หรือว่ามีประวัติสลบ หรือว่าเมา ก็จะให้นอนโรงพยาบาลเพื่อสังเกตอาการทางระบบประสาทว่ามีความผิดปกติอะไรรึเปล่า เช่น มีเลือดออกในสมอง หรือไม่ น้องคนนี้ก็เช่นกัน ก็ให้ไปดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่
ตอนที่เราไปดูน้องเค้าวันแรก น้องก็ถามตอบรู้เรื่อง แต่จะบ่นเรื่องปวดมากกว่า ดูแล้วเหมือนจะเป็นเด็กที่เอาแต่ใจตัวเองอยู่เหมือนกัน ก็รายงาน staff ไปว่าไม่น่าจะมีอะไรในหัว แต่น้องเค้ามีปัญหาเรื่องเกลือแร่ในร่างกายต่ำมาก ซึ่งก็อาจจะเกิดจากที่น้องเค้าจมน้ำก็ได้ ก็ได้รับย้ายน้องเค้ามารักษาที่ตึกศัลยกรรม ก็แก้ไขเรื่องเกลือแร่ตัวนี้ไปเรื่อย ให้กายภาพบำบัดไป น้องก็เหมือนจะดีขึ้นเล็กน้อย
มีอยู่วันหนึ่ง staff ortho มา round แล้วมาพูดอีท่าไหนไม่รู้ แม่น้องเค้าร้องไห้ใหญ่เลย สอบถามได้ความว่า อ.เค้าบอกว่าน้องเค้าเกลือแร่ต่ำมาก อาจจะอยู่ได้ไม่ถึง 7 วัน ตอนนั้นเราก็ยังไม่มั่นใจหรอกนะว่าน้องเค้าจะเป็นยังไง เราก็พยายามแก้เรื่องเกลือแร่ตัวนี้อยู่ แต่ก็ตกใจเหมือนกันที่ว่า 7 วันเองเหรอ ก็เลยบอกแม่เค้าว่าก็มีโอกาสเป็นได้ที่น้องเค้าจะแย่ลง แต่เราก็ดูแลน้องเค้าเรื่อยๆ จนน้องเค้าสีหน้ายิ้มแย้มมากขึ้น ตัวเกลือแร่ก็ดีขึ้น น้องเค้าเริ่มพูดจา ยิ้มแย้ม แต่มีเรื่องนึงคือ น้องเค้าต้องการไปสอบเข้าเรียนมหาลัย แต่สภาพตอนนี้คือไปไม่ได้แ่น่นอน น้องเค้าก็เสียใจและก็เสียดาย อยากออกจากโรงพยาบาลเร็ว ๆ ก็เลยบอกน้องเค้าว่าไว้ปีหน้าก็ได้ ปีนี้ก็ให้อ่านหนังสือเตรียมตัวไปก่อน แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าน้องเค้าจะคิดยังไงบ้าง ทำใจได้มากน้อยแค่ไหน ท้ายสุดน้องคนนี้ก็ออกจากโรงพยาบาลได้ในสภาพที่สดชื่น แต่ยังต้องใส่เฝือกไปอีกนาน case นี้ที่ประทับใจก็เพราะว่าถือเป็น case แรกที่เรารู้สึกว่าเราได้ดูแลรักษาเค้าจริงๆ ด้วยความสามารถของเราจริงๆ ภูมิใจมากๆ

Friday, March 30, 2007

ปั่นจักรยาน


ช่วงปิดนี้ได้ออกกำลังกายเกือบทุกวันเลย ออกกำลังกายโดยการปั่นจักรยาน ก็พอได้เหงื่อบ้าง แต่ได้ความเพลิดเพลินมากกว่าออกกำลังโดนวิธีอื่น ก็เพราะว่าได้เห็นทัศนียภาพทั่วเมืองน่าน แล้วก็ไ้ด้สร้างสัมพันธ์ภายในครอบครัวอีกด้วย เพราะว่ามีพี่เอื้อย(พี่สาวเราเอง) แล้วก็คุณพ่อ เป็นเพื่อนร่วมเดินทางในการปั่นด้วยกัน แต่ด้วยความที่ว่ามีจักรยานแค่ 2 คัน ก็เลยต้องผลัดกันปั่น โดยส่วนมากจะเป็นคุณพ่อที่เสียสละ ก็จะกลายเป็นสองสาวที่ปั่นจักรยานชมเมือง 555 ก็สนุกดี แต่ไม่รู้ว่าพอได้ทำงานแล้วจะมีโอกาสได้ปั่นบ่อยรึเปล่าก็ไม่รู้
รูปนี้ก็ถ่ายตอนแวะพักริมน้ำน่าน ดูสิ หน้าตาสดชื่นกันทั้งคู่เลย (หน้าตาดีกันทั้งคู่เลยนะเนี่ย สองพ่อลูก อิิๆ ๆ)

Thursday, March 15, 2007

ไปเที่ยวเชียงรายมา




ช่วงปิดรอทำงาน ท่านพ่อท่านแม่ก็พาไปเที่ยวแม่สาย(ถึงสองครั้ง) 555 ฟังดูอาจจะตลกนะว่าไปทำไมตั้งสองครั้งซ้อน ก็ไม่มีไรมากหรอก ก็แค่อยากไปอ่ะ
ที่ไปนะ ก็มีกว๊านพะเยา ที่จ.พะเยา และก็วัดร่องขุ่นของอ. เฉลิมชัย ซึ่งตอนที่ไปก็ยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ก็สวยมากเลยหล่ะ

กลับมาแวะเวียน

หลังจากหายหน้าหายตาไปนาน ก็ได้ฤกษ์กลับมาเขียน blog ซะที ที่ห่างหายไปเนื่องจากช่วงก่อนต้องไปเรียนที่สวนดอก ก็เลยทำให้ไม่ได้เล่นเน็ตก็เป็นเหตุให้ไม่ได้ update blog ของตัวเอง
ไปอยู่ศัลย์ที่สวนดอกมาก็สนุกดี ชีวิตผ่านไปวันๆ ไม่ค่อยได้รับผิดชอบอะไรมาก มาสวนดอกรอบนี้ต้องไปอยู่ surg.specialty ได้อยู่ plastic กะ เด็ก อย่างละ 2 อาทิตย์ อยู่ plastic ก็สนุกดี ได้เย็บแผลมาก ถ้าได้อยู่เวร ER ก็จะระทึกทั้งคืน เพราะไม่รู้ว่าจะโดนตามเมื่อไหร่ แล้วก็มักจะโดนตามตอนดึก ๆ ต้องรอให้พวกขี้เมามันขี่รถกลับบ้านซะก่อน ถึงจะเกิดอุบัติเหตุกัน แล้วเราก็ต้องหอบสังขารที่เพิ่งได้หลับไปเมื่อกี้นี้เอง ต้องตื่นมาตรวจร่างกายและซักประวัติที่ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง แล้วก็เย็บ(แบบ plastic) ก็คือต้องเย็บให้ละเอียดให้สวยที่สุดให้สมกับอยู่ plastic ซึ่งเป็นสาขาของความสวยความงาม เย็บแต่ละ case ก็ไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมง ก็นั่งเย็บกันไปอย่างประณีต แต่ถ้าเมาหนักๆ เอะอะโวยวายมากๆ ก็จะไม่เย็บ รอให้สร่างเมาก่อนค่อยมาเย็บกันใหม่
ส่วนอยู่เด็กนั้นสบายมากๆ เนื่องจาก case ก็น้อยมากๆ เวลาอยู่เวรก็ไม่ค่อยโดนตาม จะโดนก็คือให้มาผ่าไส้ติ่งเด็ก ซึ่งนานๆ ก็จะมีสัก case ก็ถือว่าลงด้วย ward ที่สบายๆ มาก แต่ก็น่าเบื่อเหมือนกันนะ
อืมมม ช่วงที่อยู่ plastic มีฝรั่งจาก YALE University ประเทศอเมริกา เค้ามาทำโครงการ YALE ก็คือจะทำผ่าตัดให้กับ case ปากแหว่งเพดานโหว่ หรือว่าพวกที่ต้องการเสริมความงามต่างๆ (ที่ไม่ใช่ว่าตัวเองมีครบแล้วจะทำให้สวยขึ้นนะ ) เช่น คนที่ประสบอุบัติเหตุแล้วหูขาดก็จะทำใบหูให้ใหม่ ในฝรั่งที่มานี้ก็จะมีทั้ง หมอ พยาบาล หมอเด็ก หมอดมยา แล้วก็ resident ซึ่งที่อยุ่ plastic นี้เราทันในช่วงเตรียมงามคือ ต้องเตรียมคนไข้ เตรียม OPD card แล้วก็มีหน้าที่ไปรับเค้ามาจากสนามบิน สนุกดีนะ แล้วก็มีกินเลี้ยงตอนเย็นด้วย ก็ดีนะ ได้ฝึกภาษาอังกฤษที่ไม่ค่อยจะได้ฝึกสักเท่าไหร่ รู้เลยว่าเราต้องฝึกพูดอีกมากเลยอ่ะ
และแล้วชีวิตการเป็น EXTERN ก็จบลงแล้ว เราก็เพียงแต่หวังว่าชีวิตต่อไปข้างหน้าของเราคงจะสนุกและราบเรียบนะ สาธุ